กว่าแสงจะเดินทางมาถึง...
คุณเคย "เหงา" มั้ย? คุณว่าในจักรวาลนี้ มี "ดาว" กี่ดวง? และคุณว่าเรามี "จักรวาล" เดียวรึเปล่า? ... ถ้าคุณเหงา คุณว่า..คุณเหงาแบบดาวดวงไหน?
ผู้เข้าชมรวม
336
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
3.11 น.
....ในความมืดมิดแห่งราตรีกาล ดาวน้อยใหญ่บนฟ้า แข่งกันเปล่งแสงระยับสู้กับความมืด...
แม้ว่ามนุษย์จะมองเห็นดาวหลายดวงจนเกือบเต็มท้องฟ้า แต่มนุษย์ก็ไม่เคยหยุดค้นหาดาวดวงใหม่ๆ ค้น และหา เพื่อให้รู้ว่า มนุษย์ยังมีความหวัง...
จนในที่สุด มนุษย์ก็พบกับผม...
…………
.....ท่ามกลางดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาล ผมมีขนาดเล็กที่สุด
ผมอยู่ห่างไกลความอบอุ่นของแสงจากดวงอาทิตย์ที่สุด
ผมมักถูกคนมองข้ามไป และคิดว่าไม่มีผมอยู่แล้ว
เพราะถ้าอยากจะเห็นผม จะต้องมองมาอย่างใส่ใจเท่านั้น ไม่ใช่มองเพียงผ่านๆ หรืออาจต้องใช้กล้องส่องทางใจ ที่เหนือกว่ากล้องส่องทางไกล ส่องมาที่ผม จึงจะเห็น และสัมผัสถึงตัวตนของผม....
ถ้าอยู่กับผม จะรู้สึกถึงความเย็นยะเยือก ด้วยก๊าซและน้ำแข็งที่ปกคลุมทั่วทั้งตัวผม
แต่ผมก็ไม่ได้เปราะบางเหมือนก้อนน้ำแข็งทั่วไป เพราะข้างในของผมมันแกร่งไปด้วย หิน ที่ตระหง่านเป็นแกนยึดโยงให้ผมดำรงอยู่ได้
จริงๆ แล้วผมก็มีดาวบริวาร แต่ถ้าอยู่ตรงที่ผมอยู่ ผมกลับไม่เห็นใคร แม้ดาวบริวารนั้น...
ผมชื่อ “พลูโต” .....
6.34 น.
.... แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า ทอดตัวทะลุช่องว่างระหว่างผ้าม่านสองผืน ทาบทับลงมายังร่างกายอันอ่อนล้าของผม ผมพลิกตัวหลบแสงแห่งอรุณรุ่ง หันหลังให้มันเหมือนหนีจากสิ่งที่กำลังตามไล่ล่าผมอยู่ตลอด และผมเรียกสิ่งนั้นว่า “เวลา” มือของผมควานหาผ้าห่มที่อยู่ข้างตัว หวังเพียงเป็นตัวช่วย ให้ผมหลบแสงแห่งเวลานั้นเพียงชั่วเสี้ยวนาที....
แต่แล้วผมก็ตระหนักว่า ผมไม่มีทางหนีมันไปได้ตลอด
ผมหยัดกาย ลุกขึ้นจากที่นอน แล้วบอกตัวเองว่า ยังไงวันนี้ก็เป็นวันทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์นี้แล้ว ผมต้องออกไป... ไปสู่วังวนของชีวิตอีกวัน...
ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ หรือคนที่คอยเขียนคำสั่งการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างโจทย์ที่คน ต้องการ หลายคนก็ว่ามันเป็นงานที่ดี แล้วผลตอบแทนก็ใช้ได้ แต่ผมเฉยๆ
ผมเป็นหนุ่มโสด หนึ่งในหลายพันคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ มีผู้คนมากมาย ทั้งคนหน้าตาดี คนแต่งตัวดี คนทำงานเก่ง คนมีการศึกษา คนพูดจาดี ที่นี่มีความสะดวกสบายครบถ้วน มีความเจริญทุกอย่างเท่าที่เมืองใหญ่ๆ เมืองหนึ่งเขามีกัน แต่ทุกคนยังคงแสวงหา และไขว่คว้าอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไร... ทุกคน รวมถึงผมด้วย....
8.52 น.
“ปิ๊น ปิ๊น...” “บรึ๊น นน น .. บรึ๊น น น..”
เสียงเอะอะจอแจ บอกสภาพการจราจรในเมืองใหญ่ ที่อยู่ระหว่างเส้นแบ่งของความเจริญกับความล้าหลัง แต่มีคำเรียกอย่างเป็นทางการฟังดูดีว่า “กำลังพัฒนา” สิ่งเหล่านี้ชาชินสำหรับผมและอีกหลายชีวิตที่มีชะตากรรมร่วมกัน จนไม่รู้สึกอะไรมากนัก หรืออาจเป็นว่าทุกคนทำใจให้ไม่รู้สึกอะไรได้อีกแล้ว
ทันทีที่ผมก้าวลงจากรถประจำทางที่วิ่งฝ่าการจราจรที่คับคั่ง ก็รีบเร่งฝีเท้าแทรกตัวผ่านผู้คนที่เดินกันชนิดไหล่เบียดไหล่ เพื่อเข้าไปในตัวตึกสูงเสียดฟ้าที่เป็นที่ตั้งของที่ทำงานของผม
ทุกอย่างดูเร่งรีบวุ่นวาย ไม่มีเครื่องหมายแห่งความสุขปรากฎอยู่บนใบหน้าของใครเลยสักคนเดียว มีแต่เพียงรอยยิ้มเหือดแห้ง ไร้ความรู้สึกบ้างบางครั้ง โดยเฉพาะในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับใครสักคนที่เราไม่อาจหลบเลี่ยงได้ นัยว่าเป็นการทักทายตามมารยาทสังคม
เมื่อยังเด็ก ผมอยู่ในสังคมอีกแบบ ที่แตกต่างจากวันนี้อย่างสิ้นเชิง ผมไม่เคยวาดภาพอนาคตของตัวเองมาก่อน ไม่เคยคิดว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ไม่เคยวางแผนชีวิตไว้ล่วงหน้า รู้แต่เพียงว่าผมจะทำอะไรดีในแต่ละวัน ผมมีความสุข มีความทุกข์ ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า สิ่งที่ผมเจอและต้องทำในแต่ละวันก็คือช่วยพ่อกับแม่ ปลูกผัก ผลไม้ ถางหญ้า รดน้ำ เก็บผลไม้ไปขาย เก็บผักไปขาย ทะเลาะกับพี่สาว งอนพ่อกับแม่บ้าง หรือบางทีก็ถูกทิ้งเอาไว้ให้ทำงานคนเดียวบ้าง ก็สุขๆ ทุกข์ๆ ตามภาษาสังคมชนบท
ผมเคยคิดว่าจะไม่เข้ามาทำงานในเมืองเด็ดขาด แต่แล้วมันก็เป็นได้แค่ความคิด ในที่สุดผมก็พลัดหลงในระหว่างทางของกาลเวลา เข้ามาอยู่ในวงจรชีวิตแบบที่ผมไม่คุ้นเคยนัก
เกือบทุกคนในสังคมแห่งนี้ มีความฝันคล้ายกัน มีเป้าหมายไม่กี่อย่าง และทำอะไรเป็นวัฎฎะ เหมือนไม่มีวันจบสิ้น ทำแบบนี้แล้วก็ต้องวนเวียนมาทำมันใหม่อีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วผมจะทำแบบนี้เพื่ออะไร และทำเพื่อใครกัน...
แต่ผมก็ยังไม่เคยหาคำตอบที่ดีพอ มาตอบคำถามนี้ได้สักที...
ความฝันของคนที่นี่คือ การมีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับในคนหมู่มาก เป้าหมายของคนที่นี่คือมีทรัพย์สมบัติมากมาย มีเงินทองไว้ใช้จ่ายให้กับสิ่งที่สนองความต้องการของตนเองได้ คนที่นี่พอทำงานได้สักพัก ก็จะเก็บเงินซื้อบ้าน ซื้อรถ แต่งงาน มีลูก แล้วก็เลี้ยงลูกให้เป็นคนเก่ง เป็นคนมีความสามารถจะได้สืบต่อความฝัน และเป้าหมายของตัวเองต่อไปอีกหลายๆ รุ่น
17.49 น.
ตลอดทั้งวันที่ผมทำงานอย่างหนัก ร่วมกับอีกหลายชีวิต แต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น ถ้าเปรียบคนรอบๆ ตัวผมเป็นดวงดาวในจักรวาล ผมคงเป็นดาวดวงที่เล็กที่สุด เล็กจนเหมือนหายไปในบางห้วงเวลา
เข็มนาฬิกาบังคับให้ผมทำ และหยุดทำอะไรบางอย่าง เช่นเดียวกับขณะนี้ที่พลังงานในร่างกายผมมันถดถอยลงทุกขณะ ผมรู้แต่เพียงว่า ต้องพาตัวเองให้เคลื่อนที่ออกไปจากที่โรงงานแห่งการคิดทำนี้ได้แล้ว
เท้าทั้งสองข้างก็พาผมเดินดุ่มมาเรื่อยตามถนนที่ผู้คนพลุกพล่าน แวะหยุดอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ผมอยากนั่งพัก เพื่อหวนคิดถึงอะไรบางอย่างสักหน่อย....
…………………
“ข้าวต้มได้แล้วพ่อหนุ่ม” เสียงคุณป้าเจ้าของร้านข้าวต้มดึงผมออกจากภวังค์ แกวางชามข้าวต้มลงตรงหน้าผม ชามเก่าๆ ที่ดูก็รู้ว่าผ่านการใช้งานมานับครั้งไม่ถ้วน วางลงบนโต๊ะพับที่เก่าไม่แพ้กัน ร้านข้าวต้มเก่าๆ ข้างถนนมีผมนั่งอยู่เพียงลำพัง มีรถเข็นอุปกรณ์เก่าเกือบเท่าอายุคนขาย และโต๊ะให้นั่งกินเพียงตัวเดียว
ผมมองไปรอบๆ เห็นผู้คนยังเดินขวักไขว่ไปมา บ้างคงหาทางกลับบ้าน บ้างคงไปเดินหาอะไรทำตามความต้องการของตนเอง บางก็ไม่รู้มาเดินทำไม แต่ทุกชีวิตรีบเร่งและสับสน
“ป้าขายตรงนี้มานานหรือยังครับ” ผมชวนป้าคุย
“เพิ่งมาลองขายเมื่อวาน ย้ายมาจากข้างตึกโน้น..” ป้าชี้นิ้วไกลสุดลูกตา
“แล้วพ่อหนุ่มทำไมมากินที่ร้านป้าล่ะ ไม่กินร้านในตึกเหรอ น่าจะมีร้านอร่อยๆ เยอะนะ หรือว่าไม่มีตังค์” ผมส่งยิ้มแทนคำตอบให้ป้าครั้งนึง ป้าก็ไม่เซ้าซี้อะไรผมต่อ
“ป้าไม่มีลูกเหรอ?” ผมถามกลับบ้าง เห็นป้านั่งเฉยๆ ทั้งๆ ที่ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมามากมาย แต่ตอนนี้ไม่มีใครแวะมาอุดหนุนข้าวต้มของป้า
“ไม่มีหรอก ป้าอยู่คนเดียว” ผมอยากจะถามป้าต่อว่าเหงาไหม แต่แกก็ตอบผ่านแววตาของแกมาอย่างชัดเจน ดวงตาที่ว่างเปล่า ไร้จุดหมาย ราบเรียบไร้ความหวัง ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นแววตาแบบนี้ แต่เกือบทุกนาทีของการมีชีวิตอยู่ในสังคมแห่งนี้ ในวาระและโอกาสที่แตกต่างกันเท่านั้น หรือแม้แต่บางครั้งที่ผมเห็นเงาตัวเองในกระจก ผมก็หลบแววตาแบบนี้ของตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
ผมเป็นลูกคนสุดท้อง เป็นน้องเล็กของบ้าน ที่ตามทฤษฎีอะไรไม่รู้บอกไว้ว่า มักจะได้รับการเอาใจใส่ประคบประหงมเป็นอย่างดีจากพ่อแม่ และทุกคนในบ้าน แต่สำหรับผมทฤษฎีนี้ใช้ไม่ได้ เพราะผมเหมือนคน “มาทีหลัง” มากกว่า
ครอบครัวผมลำบากมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ท่านต้องต่อสู้ดิ้นรน พอมีพี่ๆ และผม ยิ่งลำบากหนักอีกหลายเท่า และความที่ใครก็ไม่รู้ออกแบบชีวิตของพวกผมมาอย่างนี้ พวกเราจึงต้องช่วยกัน แบ่งปันความยากเข็ญแห่งชีวิตกันไป
ในฐานะน้องเล็กที่มาทีหลัง สิทธิ์ในการครอบครอง หรือแสดงความเป็นเจ้าของอะไรสักอย่างจากครอบครัว จึงถูกพิจารณาเป็นลำดับสุดท้าย และนั่นยิ่งตอกย้ำ การเป็นผู้มาทีหลังให้ลงลึกไปในใจของผมอย่างหนักแน่น ....
จากที่ผมเคยไม่เข้าใจ กลายเป็นแรงผลักให้ผมได้เรียนรู้มากขึ้น...
ผมตระหนักรู้อยู่ตลอดเวลาว่าพ่อกับแม่ทุกคนรักลูกเหมือนกัน หมด แต่การดูแลให้ความสำคัญ ไม่มีทางทำให้ลูกทุกคนรู้สึกพออกพอใจได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความลำบากใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ทันทีที่ผมเข้าใจเรื่องพวกนี้ ผมก็ไม่ทำตัวเรียกร้องความสนใจนัก ถ้าพ่อกับแม่เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ ผมก็กลายเป็นพลูโตดาวดวงเล็กที่สุดของพ่อแม่ รอรับแสงที่ส่งมาถึงเป็นลำดับสุดท้าย หายไปจากระบบสุริยะเป็นครั้งคราว แต่ทุกดาวยังรู้ว่ามีผมอยู่เป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้ครบความหมายของจักรวาล...
21.26 น.
ผมหลบความวุ่นวาย จากสามในสี่ของวงจรชีวิตวันนี้มาพ้นแล้ว ปรกติเย็นวันศุกร์ผมจะเดินดูอะไรไปเรื่อยๆ เฝ้ามองผู้คนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกับผม และปล่อยให้สมองฟุ้งๆ กับหัวใจเฟ้อๆ ทำงานบ้าง
ในที่สุดผมก็เดินทางกลับมาจนถึงที่พัก
กุญแจห้องถูกล้วงออกมาจากกระเป๋า เพื่อนำทางผมเปิดประตูเข้าไปสู่โลกแห่งความสงบของผม หรือโลกแห่งความเดียวดายในสายตาของหลายๆ คน ผมบอกตัวเองเสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกทิ้งไว้ข้างนอก ในห้องของผมจะมีเพียงตัวผม และโลกของผมเท่านั้น เอ๊ะ... แต่ไม่ใช่ซิ ผมไม่ใช่โลก ผมคือพลูโต ดาวดวงที่เล็กที่สุดในจักรวาล ดาวที่รอแสงอันอบอุ่นของดวงอาทิตย์ทอดผ่านมานำทาง ผมเคยชินกับการรออะไรแบบนี้มาทั้งชีวิต เพราะผมคือผู้มาทีหลัง... ถ้าผมต้องรอ
ผมจะรอ.... รอจนกว่า...
กว่าแสงจะเดินทางมาถึง
อีกวัน... และอีกวัน...
ผลงานอื่นๆ ของ นายต้นหญ้า ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ นายต้นหญ้า
ความคิดเห็น